เก็บตกงานสัมมนาของ VMware : Ready for Any vForum2015 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2015
Change
การเปลี่ยนแปลงขององค์กร เพื่อทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด มองไปยังอนาคตยังไง ?
Software
defined Data Center
Platform
ที่ดีต้องสามารถให้ Application Availability
อะไรคือ
Top
3 ความต้องการของลูกค้า
1 Resource คุณค่าสูงสุด
2
ออก Product
ได้รวดเร็ว Reduce time to Market
3
การลด Cost
อะไรคือ
Top
3 ความต้องการของ IT
1
มีประสิทธิภาพ
2
ทนทานสูง
3 Security
เห็นพาดหัวแล้วเกรงว่าทุกคนจะอ่านกันแล้วงงไปใหญ่ เนื่องจากเวลาจัดสัมมนา IT แต่ละครั้งเวลาจะจำกัดมากๆ
วิทยากรทุกคนต้องอัดเนื้อหาลงไปให้ผู้ฟังได้รับมากที่สุด
ชนิดที่ว่าผู้ฟังไม่มีเวลาลุกเข้าห้องน้ำกันเลยทีเดียว แต่ต้องยอมรับว่า Speaker แต่ละท่านเตรียมตัวมาดีและมืออาชีพมากๆ
เพื่อให้ทุกคนเข้าใจจึงขอนำบทความที่ได้สัมภาษณ์ ดร. ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน บริษัทวีเอ็มแวร์ ใน นิตยสารไอที เอ็นเทอร์ไพรส์
โดยมีเนื้อหาคล้ายๆ กับการกล่าวเปิดในงานสัมมนาเพื่อให้พวกเรามองเห็นถึงแนวโน้มเทคโนโลยีในข้างหน้านะคะ
VMware
เจ้าพ่อแห่งเทคโนโลยี virtualization ที่เรารู้จักกันดี
เมื่อซอฟต์แวร์จะกลายเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง และ VMware จะเป็นส่วนเสริมสำคัญในการนี้ IDC
ชี้ให้เห็นถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้บริหารด้านระบบไอที
และวีเอ็มแวร์คือผู้ตอบโจทย์ ภาพรวมเทคโนโลยีของประเทศไทยในปีนี้ทาง วีเอ็มแวร์ (VMware)
เชื่อว่ายังคงโฟกัสอยู่ใน 3 ส่วนที่สำคัญ
ที่ต้องถือว่าเป็นแรงขับที่จะเข้ามามีส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ประเด็นแรกเรื่องของ
Hybrid Cloud ยังเป็นอะไรที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด
โดยที่หากมองย้อนไปดูองค์กรก็จะมีระบบที่เป็น Private Cloud กันอยู่แล้ว
ส่วนพวก SMB และ SME ก็จะหันมาเริ่มใช้
Public Cloud กันเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ Hybrid
Cloud น่าจะมาแน่นอน เทคโนโลยีถัดมาที่หลายคนต้องพูดถึงก็คือเรื่องของ
Enterprise Mobility ซึ่งถูกแรงขับจากการใช้งานอุปกรณ์ดีไวซ์ที่เกิดขึ้นมากมาย
และประเด็นที่สามก็คือเรื่องของ Big Data Analytic โดยประเด็นนี้มีการพูดคุยกันมาสัก
1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ก็น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยในการนี้ ดร. ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน
วีเอ็มแวร์ มาให้รายละเอียดกับเราในคราวนี้
ดร.ชวพล
ยังได้ยกตัวอย่างข้อมูลจากทาง IDC ขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องของผลวิจัยที่ชื่อว่า
IDC C-Suite Barometer เป็นการสัมภาษณ์ผู้บริหารในกลุ่ม
CIO ในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกเพื่อดูว่าอะไรคือ “Most
appealing technologies for CIOs” หรือเทคโนโลยีสำหรับผู้บริหารด้านระบบไอที
โดยมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ เริ่มตั้งแต่ตัว 1) Integrated and Converged
Infrastructure – ซึ่งตอนนี้เราจะเห็นได้ว่าโซลูชันยุคใหม่จะมีอุปกรณ์เอ็นเทอร์ไพรส์มาพร้อมกันในตู้เดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นตู้แร็คประเภท Hyper Converged Infrastructure ทั้งหลาย
โดยสำหรับ วีเอ็มแวร์ ก็จะมีตัวโซลูชันที่ทำร่วมกับคู่ค้าอื่นๆ อีกมากมายชื่อว่า EVO:RAIL
เป็นต้น เป็นการรวมเอาระหว่างระบบ Compute, Networking, และ Storage สามารถทำงานได้ทันที
เพื่อเป็นการสร้างความคล่องตัวให้กับองค์กร
ต่อมาเป็นเรื่อง
2) Software Defined Networking และ 3)
Software Defined Storage ซึ่งประเด็นนี้ทาง วีเอ็มแวร์
คิดว่าจะมาแรงในปีนี้เพราะมองดูแล้วว่าคนเริ่มให้ความสนใจและเข้าใจมากขึ้น
ทั้งเน็ตเวิร์กและสตอเรจต่อไปก็จะถูกกำหนดค่าโดยซอฟต์แวร์เป็นสำคัญ อันดับต่อมา 4)
Open Source Cloud และสุดท้ายคือ 5) Software Defined
Data Center นี่คือที่องค์กรต่างจะเบนหัวไปสู่เทคโนโลยีที่จะเป็นแนวโน้มเหล่านี้
ดร.ชวพล
เล่าต่อไปว่านอกจากเทคโนโลยีและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นนี้
ยังจะเห็นปัจจัยการลงทุนมากขึ้นในภูมิภาคนี้ ซึ่งทาง วีเอ็มแวร์
เองก็เคยมีการทำวิจัยเกี่ยวเรื่องนี้เช่นกัน โดยมีประเด็นอย่างเช่น Business
Continuity ที่องค์กรจำเป็นอย่างยิ่งต้องใส่ใจในการลงทุนทั้งนี้เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง
ถัดมาเป็นประเด็นคือเรื่องของ Cost Saving คือจะต้องหาทางที่ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยรวมลดน้อยลง
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาเทคโนโลยียุคใหม่ที่สามารถจะลดต้นทุนแต่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่องด้วย
ประเด็นต่อมาที่องค์กรควรจะต้องใส่ก็คงเป็นเรื่องของ
Security และ Data Protection ซึ่งยังเป็นสิ่งที่องค์กรยังคงต้องลงทุนต่อเนื่องเช่นกัน
นอกจากนั้นแล้วประเด็นที่สี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญขององค์กรในยุคใหม่นั่นก็คือ Business
Agility หรือความคล่องตัวด้านธุรกิจ
ทั้งนี้เพราะความต้องการทางธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หากองค์กรใดไม่สามารถสร้างความคล่องตัวได้
ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ในการตอนปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบไอทีในอนาคต
เขายังได้กล่าวต่อไปถึงเรื่องของความแตกต่างที่
วีเอ็มแวร์ มีเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ในตลาด ด้วยว่า ณ ตอนนี้หากจะพูดถึงประเด็นต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน วีเอ็มแวร์
ก็เรียกได้ว่าเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านแล้ว
ก็สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ รวมถึงการที่ วีเอ็มแวร์
ได้มีความร่วมมือกับทางพันธมิตรด้านฮาร์ดแวร์อื่นๆ ทั้งในแง่ของเซิร์ฟเวอร์,
เน็ตเวิร์ก, สตอเรจ รวมถึงซีเคียวริตี้
ทั้งหมดจึงทำให้ปัจจุบัน วีเอ็มแวร์ กลายเป็นเวนเดอร์รายหลักๆ
ที่จะช่วยสร้างพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่การเป็น Software Defined
the World ได้เลยทีเดียว !
**************************************************
เกริ่นนำพอหอมปากหอมคอแล้ว
เรามาดูตัวอย่างของธนาคาร TISCO กันดีกว่า บรรยายโดย
Ms. Yutiga
Sonthayanavin, Chief Information Officer of TISCO Financial Group Plc. and
Managing Director of TISCO Information Technology Co.,ltd.
Now
& the Future
Mobility
is the key.
บริษัทได้รับรางวัลมากมายเกี่ยวกับธรรมาภิบาล
ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เป็นรายแรกที่ออมทรัพย์ผ่านตลาดหลักทรัพย์
TISCO
กับ Project VDI (Virtual
Desktop Make Disaster Recover Quick & Simple)
Business
Challenge
โจทย์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการจาก Windows
XP ไปเป็น Windows 7
ทางธนาคารประสบปัญหากับการ Migrate PC
โดยใช้เวลาเปลี่ยนผ่านมาก
ต้องการตอบโจทย์ปัจจุบันและอนาคต :
-
เนื่องจาก TISCO
มีสาขาน้อย ทำอย่างไรถึงสามารถแสดงข้อมูลให้ลูกค้าได้โดยไม่ต้องเข้า
Office
-
ทำอย่างไรเมื่อมีสถานการณ์วิกฤติเกิดขึ้น
เช่น น้ำท่วม ชุมนุมทางการเมือง
ไม่สามารถเข้าสาขาได้
-
การพัฒนาคนให้ตามเทคโนโลยีให้ทัน
Key Business Driver
-
Data Center
o Reduce
Data Center costs
o Reduce
Total cost
-
End User Computer
o Security
o Mobility
o Disaster
Recovery
o Windows
XP to 7
o 5
year life span
Benefits
-
Mobility พนักงานอยู่ตาม
Showroom วิ่ง 3 จังหวัด ไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ Office
ทำให้สามารถรับลุกค้าได้มากเท่าที่ต้องการ
-
Increase user productivity
-
Mobile branch office ทำให้มีสาขาที่เป็น mobile กว่า 10 คัน
ตัวอย่าง
Marketing
สาขาชลบุรี เข้าเยี่ยม Dealer แล้วสามารถ Key
ข้อมูลลูกค้า ผ่านอุปกรณ์ซึ่งสะดวกมาก (VDI Project) สามารถดึงข้อมูลจาก User เข้าระบบได้เลย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องเข้าสาขาและรอคิวใช้คอมพิวเตอร์กัน
Reduce
Operation Cost by Centralized Management
เวลาเครื่องมีปัญหาไม่ต้องวิ่งไปเปลี่ยน เปิดจอใหม่ใช้งานได้เลย
ทำให้การ Call Service ผ่าน Help Desk ลดลง
การ Upgrade SW & OS ทำได้รวดเร็ว ไม่ต้อง Customize
ทีละเครื่อง
ถึงแม้ธนาคารจะยังเหลืออีก 20% ที่ต้องแก้ปัญหา
แต่เท่าที่ฟังการ Present ในวันนั้นคิดว่าคงพอใจกับการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมากทีเดียว เห็นไหมคะว่าธนาคารขนาดเล็กก็ยังมีการขยับเพื่อการเปลี่ยนแปลง
แถมท้ายอีกนิดค่ะ
Edge computing ในยุคที่เราต้องไปให้ถึง
มีการทำนายว่าในปี
2018 Traffic ใน Internet
จะมีขนาด 8,600 Zettabyte อ่านว่าแปดพันหกร้อยล้านๆ
ไบท์
A zettabyte is a measure of storage capacity and
is 2 to the 70th power bytes, also expressed as 1021 or 1 sextillion bytes. One zettabyte is approximately equal to a thousand
exabytes or a billion terabytes.
คิดดูว่าเยอะขนาดไหน
สมัยก่อนเราต้องการให้
Application
ตอบสนองที่ความเร็ว 0.1 วินาที
แต่ปัจจุบันสามารถตอบสนองที่ความเร็ว
0.01 วินาที
Edge
computing à จึงเป็นอะไรที่ต้องการ Speed
ที่เร็วขึ้นมากกว่านี้
เรื่องของเทคโนโลยียังมีอะไรให้ติดตามต่ออีกมากมายพอๆ
กับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธนาคารจะแบบเดิมๆ สู่ยุคใหม่
จะเห็นว่าน้องน้ำเขียนต่อจากเรื่อง IoT
ที่เราเรียนรู้กันเมื่อฉบับที่แล้วนะคะ
จิ๊กซอร์มันจะเริ่มต่อเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้วนะคะ
ต้องติดตามกันต่อค่ะ .....
*****************************
EDGE คืออะไร
EDGE ย่อจาก Enhanced Data rates for Global Evolution คืิอ เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในทางเทคนิคแล้วเมือเทียบ EDGE กับเทคโนโลยีเครือข่าย 3G มันจะถูกจัดให้อยู่ในมาตรฐาน 2.75G อย่างไม่เป็นทางการ อันเนื่องมาจากความเร็วในเครือข่ายที่ช้ากว่านั่นเอง
ระบบ EDGE นั้นพัฒนาจาก ระบบ GPRS ทำให้ความสามารถรับส่งข้อมูลต่อ slot สูงขึ้น โดยถ้าพัฒนากันจริงๆ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 473.6Kbps แต่สำหรับเมืองไทยนั้น ความเร็วสูงสุดของ EDGE ที่ Operator ปล่อยออกมานั้นจะอยู่ที่ 220 - 236.8Kbps เท่านั้น (หรือที่เราเรียกกันว่า Class 10 ) ซึ่งต่อให้โทรศัพท์มือถือ หรือ AirCard เครื่องไหนที่สามารถรับสัญญาณ EDGE ได้ 473.6 แต่ connect จริงก็จะไม่เกิน 220Kbps เท่าที่ Operator ปล่อยออกมา ความเร็ว EDGE ที่ว่านี้สามารถใช้ เข้าweb ฟังเพลง เล่นเกมส์ chat พร้อมดู webcam ได้สบาย แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า EDGE นั้นไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่บางช่วงเวลาสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป ซึ่งอาจทำให้net สะดุด และด้วยความเร็วที่จำกัดเพียง 200Kbps กว่าๆนี้ คงไม่เพียงพอต่อการใช้ดู TV online หรือ Youtube ได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งภาพที่ได้จะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องให้download เสร็จก่อนค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากต้องการดู TV ด้วย Aircard คงต้องใช้ Hi-Speed Internet หรือ ใช้ระบบ 3G ซึ่ง 3G จะวิ่งที่ความเร็ว 3.6-7.2Mbps สามารถใช้ดู TV ได้ 3-5 ช่องพร้อมกันแบบสบายๆ แม้ใช้ Aircard ก็ใช้ได้แบบไม่มีติดขัด
EDGE ย่อจาก Enhanced Data rates for Global Evolution คืิอ เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในทางเทคนิคแล้วเมือเทียบ EDGE กับเทคโนโลยีเครือข่าย 3G มันจะถูกจัดให้อยู่ในมาตรฐาน 2.75G อย่างไม่เป็นทางการ อันเนื่องมาจากความเร็วในเครือข่ายที่ช้ากว่านั่นเอง
ระบบ EDGE นั้นพัฒนาจาก ระบบ GPRS ทำให้ความสามารถรับส่งข้อมูลต่อ slot สูงขึ้น โดยถ้าพัฒนากันจริงๆ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 473.6Kbps แต่สำหรับเมืองไทยนั้น ความเร็วสูงสุดของ EDGE ที่ Operator ปล่อยออกมานั้นจะอยู่ที่ 220 - 236.8Kbps เท่านั้น (หรือที่เราเรียกกันว่า Class 10 ) ซึ่งต่อให้โทรศัพท์มือถือ หรือ AirCard เครื่องไหนที่สามารถรับสัญญาณ EDGE ได้ 473.6 แต่ connect จริงก็จะไม่เกิน 220Kbps เท่าที่ Operator ปล่อยออกมา ความเร็ว EDGE ที่ว่านี้สามารถใช้ เข้าweb ฟังเพลง เล่นเกมส์ chat พร้อมดู webcam ได้สบาย แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า EDGE นั้นไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่บางช่วงเวลาสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป ซึ่งอาจทำให้net สะดุด และด้วยความเร็วที่จำกัดเพียง 200Kbps กว่าๆนี้ คงไม่เพียงพอต่อการใช้ดู TV online หรือ Youtube ได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งภาพที่ได้จะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องให้download เสร็จก่อนค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากต้องการดู TV ด้วย Aircard คงต้องใช้ Hi-Speed Internet หรือ ใช้ระบบ 3G ซึ่ง 3G จะวิ่งที่ความเร็ว 3.6-7.2Mbps สามารถใช้ดู TV ได้ 3-5 ช่องพร้อมกันแบบสบายๆ แม้ใช้ Aircard ก็ใช้ได้แบบไม่มีติดขัด
ปวีนัฐ คงบุญ (น้องน้ำ)
ความคิดเห็น