Peer to peer lending (P2P Lending)

Peer to peer lending (P2P Lending) หมายถึง การกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลต่อบุคคล โดยผ่านตัวกลางที่เป็น Platform ทำหน้าที่ Match maker  โดย Match maker มิได้เป็นผู้รับความเสี่ยงด้านเครดิต
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก ด้วยเหตุผลสำคัญคือเรื่องของราคา (Pricing) นั่นคือผู้กู้สามารถมีช่องทางการกู้เงินที่ถูกลง ขณะที่ผู้ให้กู้ (หรือผู้ลงทุน) มีช่องทางการลงทุนที่ได้ดอกเบี้ย หรือผลตอบแทนสูงขึ้น

เอกสารจาก ธปท.

https://www.bot.or.th/Thai/ConsumerInfo/Documents/P2P_3May2019.pdf
 โดยปกติการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชน จะนึกถึงแบงค์ก่อน เช่น Corporate ระดมทุนผ่านตลาด 300 ลบ. up
ปัจจุบันประเทศไทยมี lending company หลากหลาย เช่น pico สินเชื่อระดับจังหวัด
 จะมีแตกต่างที่อัตราดอกเบี้ย  ผู้ลงทุนอยากได้ผลตอบแทนอะไรที่ดีกว่าเงินฝากที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
 Crowdfunding VS 2P2 lending  แตกต่างกันอย่างไร
 Crowdfunding ใน ตปท. มีรูปแบบอย่างไร
 เป็นการระดมทุนผ่านคนจำนวนมากผ่านทาง internet เอาตัว return มาตัด สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม
 1 Non Financial Funding
 - การบริจาคเพื่อใช้ในโครงการต่างๆ เราไม่ได้รับผลตอบแทน ได้เอกสารลดหย่อนภาษี
ตัวอย่าง Donation เพื่อเด็ก เยาวชน สูงอายุ
 2 Reward Crowdfundingได้เป็นสินค้าบริการตอบแทนกลับมามีความเสี่ยงน้อยมาก
ตัวอย่าง บริษัทต้องการระดมทุนสร้างเตาอบพิซซ่า  ขอเงินทุนมาสร้างผลิตภัณต้นแบบ เราจะได้สินค้าล๊อทแรกตอบแทน
 3 Equity Crowdfunding ได้สิทธิความเป็นเจ้าของได้ ผลจอบแทนคือเงินปันผล ได้รับตราสารหนี้ ดบ.
ตัวอย่าง ช่างตัดผม ระดมทุนสร้างร้าน  การสร้างเครื่องแลกเหรียญ ไม่มีค่า fee ลักษณะขยายกิจการ คนลงทุนได้สิทธิความเป็นเจ้าของ
 P2P ถ้าเราลงทุนต้องทำสัญญาสินเชื่อ
 เราต้องยอมรับความเสี่ยงได้ ไม่ว่าเงินต้น หรือ ดอกเบี้ย  
 Debt Crowdfunding เช่น solar bond  ผลิตพลังงานจำหน่าย คือถ้ากู้แบงก์ต้องมีความเสี่ยงและอัตราดบแพง
ถ้าทำแบบนี้สามารถกำหนดระยะเวลากู้เองได้ตามที่เราต้องการ
 Platform จะประเมินความเสี่ยง สินเชื่อบุคคล หรือ Business
 เช่น กู้จ่ายค่าสร้างบ้าน ค่าเทอมลูก ต้องเสียค่าใข้จ่ายผ่านทางนี้เท่าไร ต้องการระดมทุนกี่วัน ต้องมีเงื่อนไขละเอียด
 ใน ตปท การกู้ผ่าน p2p แนวโน้มเพิ่มขึ้น
 เม็ดเงินประมาณ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
 จีนกู้เยอะมากๆ ถึง 93% พอมีเทคโนโลยีเข้ามา ก็ทำให้ทุกคนเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายดาย
 US   UK ไม่โตแบบก้าวกระโดดแบบจีน
การแบ่งผู้คุมกฎ
 ถ้าบริษัทอยากกู้แบบ p2p จะมีนิยามของบริษัท ภายใต้การกำกับของ กลต. ฝั่งธปท. จะดูผู้กู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น
 ดูที่ว่าผู้กู้เป็นใคร
 ทำไมถึงต้องกำกับดูแล 
จีน พอเข้าไปดูธุรกรรม 90% เป็นการปลอมขึ้นมา เป็นแชร์ลูกโซ่
 เช่น Lendingclub ทำธุรกรรมปลอม Fraud
 P2P ยังมีความเสี่ยงอื่นเช่น cyber ,การล้ม platform , การล้ม default risk
 ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียขึ้นมาแทนได้
 เราต้อง concern ข้อมูลส่วนบุคคลเช่นกัน ต้องมี governance ที่ดี เช่น ผู้ถือหุ้นเป็นใคร
 ระบบงานต้องมีความพร้อม การคุ้มครองผู้บริโภคตาม กฎหมาย
การกำกับดูแล ผู้กู้ ผู้ปล่อยกู้
 Platform
 เราจะเลือกให้ธุรกิจเติบโตก่อนแล้วค่อยกำกับดูแล จะมีความเสียหายจำนวนมาก
ประเทศไทยกำกับแต่แรกๆ ควรมีควรทำ มีมิติแบบที่ 2
 กำกับตัวกลาง platform  match maker  เช่น web /mobile app
ผู้ลงทุนอยากได้รายได้ สมัครการใช้บริการผ่าน platform ประเมินว่ายอมรับความเสี่ยง ถึงจะอนุญาตให้ลงทุนได้
 บุคคลที่ 3 เช่น สง.  บล  Blockchain ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่ล้วงเงินของลูกหนี้
 เมื่อรวบรวมเงินได้ครบ 3th party ก็เอาไปให้คนกู้
Repayment ก็ผ่านบุคคลที่ 3
การทำสัญญาผ่าน electronic ผู้กู้และผู้มก้กู้ไม่เห็นหน้ากัน
 การรายงาน NCB ต้องดู กฏหมายก่อน
 ข้อจำกัด  มุมหนี้ภาคครัวเรือน ถ้ากู้เพื่ออุปโภคบริโภคนับรวมกันห้ามเกิน 3 แหล่ง
คิดดอกเบี้ย ได้ไม่เกิน 15% ไม่รวมค่าธรรมเนียม ส่วน platform ได้ on top ต่างหาก
 Borrower ไม่สามารถเลือก ดบ เองได้ขึ้นกับคุณสมบัติของคนกู้
ต้องมี model ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์
 การทำสัญญาแล้วแต่ platform ออกแบบ ให้เป็นตามกฎหมายตรวจสอบโดยทีม Fintech ธปท.
ปัจจุบัน P2P Lending ได้เกิดขึ้นแล้วเช่นกันในบ้านเราหลาย ๆ แพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Peer Power ที่เน้นการทำ Platform สำหรับผู้กู้-ผู้ให้กู้ของกลุ่มลูกค้า SME หรือ ได้เงิน.com ที่จับตลาดในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
โดยอัตราดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องจ่ายอยู่ที่ระดับไม่เกิน 15% ต่อปี (ตามกฎหมาย) ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายผ่านสถาบันการเงินในท้องตลาดปัจจุบัน
ขณะที่ผู้ฝากเงินใน Platform ในปัจจุบันได้รับดอกเบี้ยสูงถึงประมาณ 9 – 12% ซึ่งนับว่าสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมาก ๆ
อย่างไรก็ตาม กลไกของ P2P Lending คือระบบออนไลน์นั้นทำหน้าที่เป็นตัวกลาง matching ระหว่างผู้ฝาก และผู้กู้โดยได้รับค่าธรรมเนียมหลักในรูปของ spread โดยผู้ให้กู้ต้องเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้ (NPL)
ยกตัวอย่างเช่น
นาย ก. เป็นผู้ปล่อยกู้ผ่านระบบ P2P Lending สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์มือ 2 เป็นเงิน 1 ล้านบาท
โดยระบบ P2P Lending ได้จัดสรรให้ปล่อยกู้ไปที่รถยนต์ 100 คัน โดยผู้ให้กู้ได้รับดอกเบี้ย 12% หรือปีละ 120,000 บาท
หากเวลาผ่านไปมีเจ้าของรถยนต์ที่ผิดนัดชำระหนี้ 5 คันและไม่สามารถยึดรถมาขายทอดตลาดได้ เท่ากับว่าผู้ให้กู้เจอกับหนี้สูญ (NPL) 5%

สุทธิแล้วเท่ากับว่าดอกเบี้ยที่ได้รับหลังหักด้วย NPL = 12 – 5 = 7%
ดังนั้นการที่นักลงทุนจะปล่อยกู้ผ่านระบบ P2P Lending นั้น สิ่งที่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีคือความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อชนิดที่เราปล่อยกู้
อีกประการที่สำคัญมากคือเรื่องการกระจายความเสี่ยงของการปล่อยกู้ (Diversification) ซึ่งหลัก ๆ แล้วการปล่อยกู้ผ่าน P2P Lending Platform นั้นผู้กู้ส่วนใหญ่จะไม่มีเครดิตเรตติ้ง นั่นคือมีระดับความเสี่ยงเครดิตที่สูง ดังนั้นหัวใจสำคัญของการปล่อยกู้ในระบบ P2P Lending คือการกระจายการลงทุนมาก ๆ
ถ้าไม่กระจายการลงทุนให้ดี เช่น ปล่อยกู้ให้กับรถยนต์แค่ 10 คันแทนที่จะเป็น 100 คัน เท่ากับว่าถ้าแจ็กพ็อตมีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นเพียง 1 คันเท่ากับว่าเงินปล่อยกู้เราหายไปถึง 10%
ลองคิดดูแล้วบทเรียนเรื่องการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ของบ้านเราในหลายปีที่ผ่านมานั้นก็มีหลายบทเรียนเช่นกัน เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภท non-rate ในบ้านเรามักจะลงทุนเพียง 4 – 5 บริษัทเวลาโดนผิดนัดชำระหนี้ครั้งนึงก็ทำให้เงินต้นหายไปจำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ ครั้งในบ้านเราและมีการร้องเรียนกันอย่างมากมาย
หรือการลงทุนในหุ้นกู้เป็นตัว ๆ ตั๋วบีอีเป็นใบ ๆ ครั้งละมาก ๆ โดยที่ผู้ลงทุนไม่ได้กระจายการลงทุนให้ดีที่ผ่านมาก็สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนมาแล้วไม่น้อยเช่นกัน
คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับ P2P lending ที่ว่านี้อย่างไรบ้าง
1.              P2P lending คือการกู้นอกระบบ
ด้วยความที่ระบบ P2P lending เป็นการเชื่อมต่อผู้ขอสินเชื่อกับนักลงทุนที่เป็นบุคคลทั่วไป คนส่วนใหญ่จึงมักเข้าใจผิดว่า P2P lending คือการกู้นอกระบบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว P2P lending ต่างจากการกู้นอกระบบอย่างสิ้นเชิง โดยแพลตฟอร์ม P2P lending เช่น PeerPower นั้น ได้ทำการพัฒนาระบบคำนวณคะแนนเครดิต (credit score) โดยระบบได้ทำการประมวลข้อมูลจากเครดิต บูโร เพื่อตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ รวมถึงข้อมูลจำเป็นอื่นๆ เช่น ประวัติการทำงาน เพื่อประเมินความสามารถในการชำระเงินของผู้ขอสินเชื่อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ขอสินเชื่อควรได้รับ กระบวนการนี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้กู้เงินมีวินัยในการชำระสินเชื่อตรงเวลา จะเห็นได้ว่า การกู้ผ่านแพลตฟอร์ม P2P lending มีมาตรฐานและความโปร่งใสกว่าการกู้นอกระบบ
นอกจากนี้ ดอกเบี้ยของระบบ P2P lending มักจะต่ำกว่าการกู้นอกระบบมาก โดยทั่วไป การกู้นอกระบบจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 5-20% ต่อเดือน ในขณะที่การกู้ผ่านระบบ P2P lending เช่น PeerPower นั้น มีอัตราดอกเบี้ยเพียง 8-15%  ต่อปี ซึ่งปฎิบัติตาม พรบ. การเก็บดอกเบี้ย เมื่อเกิดการผิดชำระหนี้ ตัวกลางทำหน้าที่ในการติดตามทวงถามหนี้ซึ่งก็ต่างจากการกู้นอกระบบ
2.              P2P lending เป็นทางเลือกที่ไม่ได้รับความนิยม
P2P lending มีการดำเนินการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 โดยมีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน หากเทียบเป็นจำนวนเงินกู้ต่อประชากร ตลาด P2P lending ในอังกฤษถือว่าเป็นตลาดเงินกู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นจำนวนเงินที่กู้ต่อหัวสูงกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 72% ในขณะที่สหรัฐฯ มีมูลค่าการกู้ผ่านแพลตฟอร์ม P2P lending สูงที่สุด (6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโตจากปีที่แล้วสูงถึง 128% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งบอกถึงความนิยมของ P2P lending ในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
สาเหตุหลักๆ ที่ P2P lending ได้รับความนิยมในต่างประเทศนั้น เนื่องจากการกู้ผ่านแพลตฟอร์ม P2P lending ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งสองฝ่าย ในด้านของผู้ขอสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินทั่วไป ส่วนในมุมของนักลงทุนนั้น ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร หรือซื้อธนบัตรรัฐบาล เป็นต้น หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่าทำไมการกู้แบบ P2P lending สามารถให้อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่จูงใจได้ คำตอบคือ ระบบ P2P lending เป็นตลาดปล่อยสินเชื่อที่ทำผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ต้นทุนในการดำเนินการของผู้ให้บริการ P2P lending นั้นต่ำกว่าธนาคารซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ที่ช่องทางออนไลน์ไม่มี เช่น การเปิดสาขา การจ้างพนักงานประจำสาขา เป็นต้น
ตัวอย่างการใช้ที่เป็นนิยมสูงของ P2P lending คือ การกู้ยืมเพื่อไปปิดหนี้สินบัตรเครดิต เนื่องจากดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตมักจะสูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ
3.              P2P lending เป็นเรื่องไกลตัว
หลายคนมักเข้าใจว่า P2P lending เป็นเรื่องใหม่ และน่าจะใช้เวลาอีกนานสำหรับธุรกิจประเภทนี้ที่จะดำเนินการในประเทศไทย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในขณะนี้ ธปท.เตรียมประกาศเกณฑ์ประกอบธุรกิจ Peer-to-Peer Lending Platform พร้อมเปิดให้ผู้สนใจยื่นเข้าทดสอบในแซนด์บ็อกซ์ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเอื้อต่อธุรกิจฟินเทค และส่งเสริม startup economy ของประเทศไทย ซึ่ง PeerPower เองก็เป็นหนึ่งในบริษัทแรกของคนไทยที่กำลังดำเนินการตามแนวทางของธปท. และกระทรวงการคลังอยู่เช่นกัน
4.              ผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนแปรตามกลไกตลาด
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าผลตอบแทนจากแพลตฟอร์ม peer-to-peer lending จะแปรตามกลไกตลาด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผลตอบแทนของนักลงทุนจะมีความแน่นอนและไม่แปรเปลี่ยนไปตามภาวะตลาด เนื่องจากในการทำสัญญากู้เงินและลงทุนได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยชัดเจนชัดเจน ฉะนั้นการลงทุนใน P2P lending จึงให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอเป็นรายเดือน (stable returns) ในขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยของผู้กู้ก็เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (fixed rates) ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์และสถิติการดำเนินการ P2P lending ในประเทศอื่นๆ






ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม