สรุปเนื้อหาโรงเรียนผู้ตรวจการ 7

1.        หลักสูตร “สื่อสารสร้างสรรค์”
·       รู้จัก  UNO Personality

ความรู้ ความสามารถ (Competencies) ที่ได้รับ:
PC 5 การสร้างและรักษาสัมพันธภาพ ระดับ PL 3
PC 6 การสื่อความหมาย ระดับ PL 3
PC 8 ภาวะผู้นำ ระดับ PL 3
PC 10 การมีวิสัยทัศน์ ระดับ PL 3
สรุปเนื้อหา
การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
(Transactional Analysis)
   การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
 1 .ความหมาย ความสำคัญของการวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล.
          ความหมายของการวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Transactional Analysis) หมายถึง. คือ การวิเคราะห์การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มาเกี่ยวข้องกัน โดยเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อช่วยให้บุคคลเข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นดีขึ้นและเพื่อบุคคลนั้นจะได้พัฒนาการสื่อสาร และมนุษยสัมพันธ์ของคนต่อบุคคลอื่นให้ดียิ่งขึ้น
            ประโยชน์ของการวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
            1.  ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการและผล
            2.  ทำให้เข้าใจคนอื่นและลดความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อบุคคลอื่น
            3.  ทำให้เข้าใจผู้ร่วมงานได้ดียิ่งขึ้น
            4.  ช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการในด้านต่างๆ เช่น การใช้คำพูดลักษณะการเป็นผู้นำ
            5.  ทำให้เกิดการปรับตนเพื่อพัฒนาการและสัมฤทธิผลในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น
            6.  ทำให้เกิดการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
  2.  การวิเคราะห์โครงสร้างบุคลิกภาพ
การวิเคราะห์โครงสร้างบุคลิกภาพ (Structural Analysis)
               อีริค เบอร์น (Dr.Eric Berne) ได้อธิบายเรื่องของโครงสร้างบุคลิกภาพ โดยอธิบายในลักษณะของสภาวะ หรือสถานะ (Ego State) ซึ่งเป็นลักษณะที่บุคคลสะสมและสร้างมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยโดยไม่รู้ตัว และได้อธิบายความหมายของสภาวะหรือสถานะ คือ บุคลิกภาพซึ่งเป็นวิถีทางที่บุคคลแสดงออกในการดำเนินชีวิตในสังคม โดยแบ่งสภาวะของบุคคลออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ดังนี้
1.1 สภาวะ พ่อ แม่ (Parent Ego State - P) คือ บุคลิกภาพที่มีลักษณะคล้ายพ่อแม่ หรือ
ผู้ปกครอง
1.2 สภาวะผู้ใหญ่ (Adult Ego State - A) คือ บุคลิกภาพที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ หรือ ผู้มี
วุฒิภาวะสมบูรณ์
            1.3 สภาวะเด็ก (Child Ego State - C) คือ บุคลิกภาพที่มีลักษณะของความเป็นเด็ก
            บุคคลโดยทั่วไปจะต้องมีบุคลิกภาพทั้ง 3 ส่วนนี้อยู่ในตัวแต่บุคลิกภาพที่ปรากฎหรือแสดงออกจะเป็นเพียงแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น เช่น ถ้าบุคคลใดกำลังอยู่ในสภาวะเด็ก สำหรับสภาวะพ่อ แม่ หรือสภาวะผู้ใหญ่ก็จะไม่ปรากฎให้เห็น การที่บุคคลจะแสดงบุคลิกภาพเป็นลักษณะใดขึ้นอยู่กับอารมณ์ เหตุผล สถานการณ์บรรยากาศของการติดต่อเกี่ยวข้อง การวินิจฉัยสั่งการ ฯลฯ
            1.1 สภาวะพ่อ แม่ คือ บุคลิกภาพที่แสดงออกเมื่อบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะมี
ลักษณะปกป้อง และแสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจ ตลอดจนแสดงออกถึงความรับผิดชอบ ซึ่งมีลักษณะแยกย่อย ดังนี้
               1.1.1 สภาวะพ่อ แม่ ที่เจ้าระเบียบ (Critical Parent - CP) การแสดงออกจะเป็นไปในลักษณะที่เอาแต่ใจตัวเอง ออกคำสั่ง เข้มงวด จุกจิก จู้จี้ และวิพากษ์วิจารณ์
               1.1.2 สภาวะพ่อ แม่ ที่มีเมตตากรุณา (Nurtering Parent - NP) การแสดงออกจะเป็นไปในลักษณะที่เอาใจใส่ ยกย่อง ชมเชย ปกป้อง คุ้มครอง ช่วยเหลือ
            1.2 สภาวะผู้ใหญ่ คือ บุคลิกภาพที่แสดงออกเมื่อบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
โดยใช้เหตุผลและความคิดที่มีลักษณะเป็นตรรกศาสตร์ การดำเนินงานหรือการตัดสินใจของบุคคลที่มีสภาวะจิตแบบผู้ใหญ่จะไม่มีการใช้อารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ มาเกี่ยวข้อง แต่จะใช้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ
            1.3 สภาวะเด็ก คือ บุคลิกภาพที่แสดงออกตามธรรมชาติตามความต้องการของตนเองและตามสภาวะอารมณ์ต่าง ๆ นั่นคือ บุคคลจะแสดงออกในสิ่งที่ตนเองต้องการที่จะกระทำโดยไม่สนใจเรื่องของเหตุผล ดังนั้น พฤติกรรมในสภาวะนี้จะเป็นพฤติกรรมชอบเล่น ชอบเย้าแหย่คนอื่น ๆ หัวเราะ ร้องไห้ ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะแยกย่อย ดังนี้
               1.3.1 สภาวะเด็กปรับตัว (Adapted Child - AC) คือ บุคลิกภาพที่มีการปรับตัว
เพื่อให้บุคคลอื่นเกิดความพึงพอใจ ซึ่งจะอยู่รวมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข
               1.3.2 สภาวะเด็กตามธรรมชาติ(Natural Child - NC) คือ บุคลิกภาพที่มีลักษณะเป็นไปตามธรรมชาติ    มีการแสดงออกตามความต้องการของตนเอง    เช่น ทุบตี   เย้าแหย่ หัวเราะ ร้องไห้ ชอบเล่น ฯลฯ
เทคนิคการฟัง 3 มิติ
1 การฟังเพื่อรับรู้เนื้อหา
2 การฟังเพื่อรับรู้ความรู้สึก
3 การฟังเพื่อรับรู้ความตั้งใจ

นำไปใช้พัฒนา ได้ผลอะไรแล้วบ้าง
1.เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติมนุษย์ และความแตกต่างของพฤติกรรมบุคคล สามารถยอมรับตนเอง และผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น
2. เพื่อให้เรียนรู้วิธีการสื่อสารในการรักษาสัมพันธภาพที่ดี และสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้องชัดเจน
3. เพื่อให้สามารถรับฟังผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
2.        หลักสูตร “Being Assertive 
เพื่อเรียนรู้รูปแบบการสื่อสาร 4 ประเภท รวมทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภท
เข้าใจว่าเหตุใดการสื่อสารแบบเปิดเผยจึงเป็นรูปแบบที่ให้ผลดีที่สุด
ระบุได้ว่าตัวท่านเองใช้การสื่อสารรูปแบบใดในที่ทำงาน
เรียนรู้โมเดลการสื่อสารที่เรียกว่า ASERT
ฝึกนำโมเดล ASERT มาใช้โน้มน้าวใจผู้คนในทางบวก
สรุปเนื้อหา
Assertiveness  หรือ การแสดงออกอย่างเหมาะสมคือพฤติกรรมหรือการแสดงออกด้วยคำพูด หรือกิริยาอาการว่าเรามีความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ปิดบังหรือ อ้อมค้อม ด้วยความสุภาพตรงไปตรงมาในเวลาที่เหมาะสมโดยไม่ก้าวร้าว การแสดงออกอย่างเหมาะสมเป็นการรักษาสิทธิ์หรือเป็นการแสดงสิทธิ์ของมืออาชีพ ที่พึงกระทำในโลกของการจัดการสมัยใหม่

     หากจะพูดถึง Assertiveness เราต้องเข้าใจถึงระดับการแสดงออกก่อนว่ามันมีอยู่สามระดับคือ Passive คือไม่กล้าแสดงออก Assertive คือแสดงออกอย่างเหมาะสม Aggressive คือการแสดงออกอย่างก้าวร้าว 
การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม (Assertive mode)
·       ควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น
·       รักษาสิทธิ ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
·       รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
·       รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด

โมเดล ASERT
1.     I'm Not OK, You're OK
2.     I'm Not OK, You're Not OK
3.     I'm OK, You're Not OK
4.     I'm OK, You're OK

ประโยชน์ที่ได้รับ :
การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ทำให้มีความชัดเจน และเกิดความผิดพลาดได้น้อย
สามารถสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยปราศจากความกลัวที่จะพูดออกมา
สามารถเกิดการสื่อสารที่ชัดเจนและมีความเหมาะสมในการทำงาน ทำให้ผู้รับสารเข้าใจในทิศทางเดียวกัน
การสื่อสารที่ได้ทั้งใจและงานในการเจรจาต่อรอง

3 Introduction to Big Data Analytics
By Assoc. Prof. Dr. Thanachart Numnonda
สรุปเนื้อหา
Big Data  คือ ลักษณะข้อมูลทุกอย่างที่เราเก็บไว้ในบริษัทของเรา ไม่จำกัดว่าต้องเป็นในรูปแบบไหนหรือเป็นประเภทใด โดยลักษณะของข้อมูลที่ถือว่าเป็น big data ได้นั้น จะประกอบไปด้วย 4V ได้แก่
·       Volume คือข้อมูลปริมาณมากและต่อเนื่อง (Facebook, Google , etc)
·       Velocity คือข้อมูลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (ข้อมูลตลาดหุ้น, ข้อมูล Sensor)
·       Variety คือตัวข้อมูลมีความแตกต่าง หลากหลาย (ข้อความ, รูป, วีดีโอ)
·       Veracity คือตัวข้อมูลมีความไม่แน่นอน
Big Data Analytics คือ กระบวนการวิเคราะห์เซ็ตข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่ข้างใน หาสิ่งเชื่อมโยงที่เชื่อมข้อมูลเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน หาเทรนด์ทางการตลาด หาความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลนี้สามารถนำไปสู่การทำแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ โอกาสในการสร้างผลกำไร การให้บริการที่ดีมากขึ้นแก่ลูกค้า การปรับปรุงการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในการแข่งขันทางการตลาด และผลประโยชน์ทางธุรกิจด้านอื่นๆ
เป้าหมายหลักของ Big data analytics หรือ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า คือ ช่วยในการให้ข้อมูลกับบริษัทเพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจโดยการใช้ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientists) นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ (predictive modelers) และผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีการส่งผ่านภายในองค์กรหรือบริษัท รวมไปถึงข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบอื่นๆ ที่อาจซุกซ่อนอยู่ในระบบต่างๆของบริษัท ซึ่งแหล่งข้อมูลที่จะถูกนำมาวิเคราะห์นี้หมายรวมถึง เว็บเซิร์ฟเวอร์ล็อคและการคลิกดูข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต คอนเท้นท์บนโซเชี่ยลมีเดียและรายงานกิจกรรมต่างๆบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ข้อความจากอีเมลของลูกค้าและการตอบแบบสอบถาม เสียงบันทึกรายละเอียดทางโทรศัพท์ของลูกค้า และข้อมูลที่มีการบันทึกได้จากเซ็นเซอร์บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแบบ Internet of Things
Big Data สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยเครื่องมือที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น Hadoop YARN MapReduce Hive หรือ NoSQL เป็นต้น โดยจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การวิเคราะห์เพื่อคากการณ์ล่วงหน้า การทำเหมืองข้อมูล (Data mining) การวิเคราะห์ข้อความ และการวิเคราะห์ทางสถิติ นอกจากนี้เครื่องมือประเภท Mainstream BI software และเครื่องมือแบบ data visualization ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่อยู่ในกระบวนการการวิเคราะห์ข้อมูลเช่นกัน
ประโยชน์และการใช้งานของ Big Data
Big Data จะเป็นประโยชน์ ต่อการใช้งานหลายประการ เช่น การใช้งานข้อมูลเกี่ยวกับการค้นคว้า วิจัย เอกสาร เครือข่ายทางสังคม หรือข้อมูลเฉพาะต่างๆ เช่น โรงพยาบาล คลังต่างๆ ซึ่ง Big Data นี้เหมาะสำหรับการนำมาวิเคราะห์ข้อมูลดิบ หรือข้อมูลกึ่งโครงสร้างต่างๆ นำไปใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาการแก้ไขหรือหาวิธีการจัดการให้ธุรกิจให้เป็นไปตามที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ ที่จะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจทำให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคนิคที่สามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประเภทของ Data Scientist
·       Data Businesspeople
·       Data Creatives
·       Data Developers
·       Data Researchers
Data Analytics Lifecycle  ประกอบด้วย
1 Business User กำหนดความต้องการ
2 Data Warehouse Manager  รวบรวมข้อมูล
3 Data Scientist  สร้าง Model ข้อมูล
4 BI Analyst  นำเสนอมุมมองวิเคราะห์ใหม่ๆ
5 Business User วัดผลความมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ที่ได้รับ :
·       เข้าใจเนื้อหาของ Big Data ดียิ่งขึ้น
·       สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ Project ระบบข้อมูลเพื่อรองรับการกำกับตรวจสอบแบบต่อเนื่อง และ DMSE  รวมถึงานตรวจสอบสถาบันการเงินในยุคดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น


การสร้างเสริมกำลังใจในการทำงาน
วิทยากร คุณพิทยากร ลีลาภัทร์
สรุปเนื้อหา
ชักชวนให้คนพัฒนาตัวเองด้วยวิถีพุทธ มีสติเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต เพื่อพบกับความสุขที่แท้จริง
ได้ข้อสรุปมาดังนี้
1. เพราะคาดหวัง​ในเรื่องที่ไม่ตรงกับความจริง​ Expectations คนจบใหม่มักจะคาดหวังสูงว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้​ พอเจอเรื่องจริงแล้วยอมรับไม่ได้ก็ถอดใจ
หรือคาดหวังว่าจะต้องเติบโต​ ก้าวหน้า​ ลืมไปว่า​ มันมีปัจจัย​เยอะนะ​ ไม่ใช่แค่เก่ง
2. เพราะชอบคิดเปรียบเทียบ​Comparisons เทียบกับเพื่อนที่จบมาด้วยกัน​ทำไมมันไปเร็วจัง เทียบกับคนที่เข้ามาใหม่เอ๊ะเราเก่งกว่าทำไมมันแซงเรา​เทียบกับคนเก่า​ไม่เห็นเก่งเลย​ ทำไมได้ขึ้นตำแหน่ง​
3. ความเคยชิน​ คนเราอยู่กับของดีมีค่า​ แต่เห็นนานๆ​ เห็นทุกวัน​ เราชิ​น​ กลายเป็น​ Habits
อย่างคนไทยเจอแดดทุกวัน​ ร้อนจนเบื่อ​ วันไหนหนาวจะดีใจ​ แต่ฝรั่งที่อยู่ใกล้ขั้วโลก​ เจอแดดเมืองไทย​ ดีใจจนรีบถอดเสื้อ
4. ขาดฉันทะ​ เพราะลืมไปว่า​ เรามาทำงานนี้เพราะอะไร​ เพื่อใคร​ และมันทำประโยชน์​ให้ตัวเรากับคนอื่นสังคมประเทศ​ชาติยังไง​ เป็นเรื่อง​ Passion
5. ทัศนคติ​ลบ​ Bad Attitude มองแต่ส่วนเสียๆของงานที่ทำ​ ไม่มองข้อดี​
ประโยชน์ที่ได้รับ :
·       ทำให้มีกำลังใจในการทำงานแม้มีปัญหาอุปสรรค




การนำเสนอรายงานการตรวจสอบ
ผอส. ยงศักดิ์ เซี่ยงหลอ ฝต. 1
สรุปเนื้อหา
การเสนอรายงานเป็นเทคนิคที่สำคัญที่สุดอันหนึ่ง ที่ผู้ตรวจสอบต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะเป็นสื่อที่แสดงถึงการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบทั้งหมด ผู้บริหารจะยกย่อง หรือไม่เห็นความสำคัญของผู้ตรวจสอบ ก็เนื่องจากรายงานที่เสนอไป ผู้ตรวจสอบจะต้องเสนอรายงานที่ถูกต้อง ให้ข้อมูลที่แท้จริง และประเมินผลจากข้อเท็จจริง ให้ข้อเสนอแนะที่มีเหตุผล การเสนอแนะนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ผู้ตรวจสอบจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริง และให้เหตุผลได้สำหรับข้อเสนอแนะนั้น ๆ
การทำรายงานที่ดีจำเป็นต้องเขียนอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผลและเป็นขั้นตอน ใช้คำที่ถูกต้อง รายงานต้องรัดกุม ชัดเจน และสมบูรณ์ รายงานที่ชัดเจนจะทำให้ผู้บริหารอ่านเข้าใจได้ตั้งแต่การอ่านครั้งแรก รายงานที่ถูกต้องจะต้องประกอบด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง รายงานที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยข้อมูลที่จำเป็น และอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

ประโยชน์ที่ได้รับ :
สามารถนำเสนอรายงานการตรวจสอบได้ดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพ


การจัดทำและเขียนรายงานที่ดี
ผอส. วจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ฝกฉ.
สรุปเนื้อหา
การจัดทำรายงานการตรวจสอบ
การจัดทำรายงานหลังจากการตรวจสอบนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะ
1. เพื่อบันทึกสิ่งที่ตรวจพบและข้อสรุป ตลอดจนข้อเสนอแนะของผู้ตรวจสอบ
2. เพื่อใช้เป็นเอกสารขั้นต้นสำหรับการทำให้องค์กรนั้นสมบูรณ์ขึ้น
3. เพื่อใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในภายภาคหน้า
การจัดทำรายงานที่ดีควรประกอบด้วย
1. ความถูกต้อง
2. ความชัดเจน
3. ความกะทัดรัด
4. ข้อเสนอแนะ
5. ความทันกาล
1. ความถูกต้อง
รายงานการตรวจสอบมีความถูกต้อง ข้อความทุกประโยค ตัวเลขทุกตัว เอกสารอ้างอิงทุกชิด จะต้องมาจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และผู้ตรวจสอบได้ทำการประเมินข้อมูลเหล่านั้นแล้ว ความถูกต้องที่กล่าวถึงในรายงานต้องรวมถึง การทราบถึง หรือสังเกตการณ์ จนกระทั่งทราบอย่างแน่ชัดว่าได้ข้อเท็จจริงแล้ว ถ้ารายงานเกี่ยวกับสิ่งใดแล้ว ย่อมหมายถึงว่าสิ่งนั้นผู้ตรวจสอบได้ทราบ และ/หรือได้ยอมรับแล้วเป็นสิ่งที่ตรงตามข้อเท็จจริง
2. ความชัดเจน
หมายถึง ความสามารถในการส่งข้อความ หรือความต้องการของผู้ตรวจสอบ หรือสิ่งที่ต้องการเสนอไปสู่ผู้อ่านรายงานให้เข้าใจเหมือนดังที่ตนตั้งใจ หากใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ อาจจะทำให้ผู้อ่านรายงานเกิดความเข้าใจแตกต่างจากที่เป็น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขในแนวทางที่แตกต่างกันไปจากเป้าหมายที่ตั้งใจ
ในเบื้องต้น ผู้ตรวจสอบต้องทำความเข้าใจในเรื่องที่จะเสนอรายงานให้แจ่มแจ้งเสียก่อน หากไม่ทำความแจ่มแจ้งให้เกิดขึ้นแล้ว ก็คงยากที่จะเขียนรายงานได้อย่างชัดเจน ผู้ตรวจสอบต้องแน่ใจว่า เรื่องที่จะเขียนในรายงานนั้นมีอยู่แล้วอย่างเพียงพอหรือไม่ ควรที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหรือไม่
ความต่อเนื่อง หรือการจัดลำดับข้อความในรายงาน เป็นการช่วยให้รายงานนั้นเกิดความเด่นชัด หรือชัดเจนยิ่งขึ้น การสร้างความชัดเจนอาจจำเป็นต้องมีตารางตัวเลขประกอบไปด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้น
3. ความกะทัดรัด
หมายถึง การตัดสิ่งฟุ่มเฟือย หรือไร้สาระออกจากรายงานการตรวจสอบ แต่ไม่ได้หมายถึงการเขียนรายงานสั้น รายงานจะยาวหรือสั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเสนอในรายงานนั้นมีมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าการตัดทอนจะมีมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้ตรวจสอบยังคงต้องรักษาความต่อเนื่องของแนวความคิด เพื่อให้ผู้อ่านรับความคิดอย่างต่อเนื่อง
4. ข้อเสนอแนะ
การวิจารณ์ข้อบกพร่องโดยไม่มีการให้ข้อเสนอแนะ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ในทำนองเดียวกัน การวิจารณ์โดยปราศจากการเสนอแนะข้อยุติที่ชอบด้วยเหตุผล ก็ไม่เป็นการเหมาะสมเช่นกัน และจะทำให้รายงานไม่มีความหมาย เพื่อที่จะทำให้รายงานเป็นที่ยอมรับ การเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงการปฏิบัติงาน แทนที่จะเป็นการตำหนิการปฏิบัติงาน จะทำให้รายงานมีคุณค่าขึ้น
5. ความทันกาล
หมายถึง การเสนอรายงานต้องกระทำภายในเวลาที่เหมาะสม เพราะต้องมีการนำรายงานไปดำเนินการต่อ การสั่งการของผู้บริหารต้องใช้ข้อมูลที่ดีและทันเวลา เพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที

ภาพรวมของการเขียนรายงานที่ดี
ข้อคิดเห็นจากผู้บริหารใน สกส.
1. ข้อมูลมีความกระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น
ผู้บริหารทุกท่าน
2. ทันตามกำหนดเวลา
ผอส.ฝกฉ. , ผอ.ฝสจ.
3. ร้อยเรียงเรื่องได้เป็นขั้นตอน ไม่วกไปวนมา กำหนด Outline ให้ชัดเจนว่าต้องการสื่อสารอะไร
ผก. , ผอส.ฝต2. , ผอส.ฝกฉ.ผอส.ฝคง.
4. ใช้ตาราง หรือแผนภาพประกอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ผอส.ฝต3. , ผอ.ฝวพ.
5. Format มีความถูกต้อง
ผอส.ฝต1. , ผอส.ฝกฉ.
6. เขียนให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบพบ ไม่เอาเค้าโครงรายงานตรวจสอบปีก่อน ๆ มาเป็นต้นแบบ
ผอส.ฝต1. , ผอส.ฝคง.

วิธีแก้ไขการเขียนรายงานที่ไม่ดี
1 กำหนด Outline
2 สื่อสาร Key Message
3 ทดสอบ Story Line

ประโยชน์ที่ได้รับ :
·       ใช้เวลากับการแก้รายงานน้อยลง
·       รักษาสัมพันธภาพกับผู้รับสาร ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
·       การทำงานเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น
·       ผู้รับสารเข้าใจสารที่ต้องการสื่อ
·       ลดโลกร้อน (ลดกระดาษ) ลดพลังงาน
·       ความคิดเป็นระบบมากขึ้น การทำงานเป็นระบบมากขึ้น
การสื่อสารและนำเสนอ บุคลิกภาพของผู้ตรวจการ
ผอ. สุจารี มนชน ฝต.2
สรุปเนื้อหา
 มุมมอง ความคาดหวัง กับบทบาทการกำกับตรวจสอบ
What can we do ?
แม่นหลักการ และเป็นนักประยุกต์ที่ดี
คุยกันแบบ Substance over Form”
·       ชี้ประเด็นด้วยหลักการและเหตุผล และความเสี่ยงเป็นหลัก
·       อย่าเน้นอ้างประกาศ เกณฑ์ ธปท. ให้เน้นอ้างถึงเจตนารมณ์เป็นหลัก
·       ยอมรับว่าโลกเปลี่ยน การเดินไปสู่เจตนารมณ์เดียวกัน อาจด้วยวิธีการที่เปลี่ยนไป
·       ถามตัวเองในจุดที่ comment ว่าเราห่วงอะไร ความเสี่ยงในเรื่องนี้คืออะไร แบงก์ทราบหรือไม่ ปัจจุบันจัดการอย่างไร ความเสี่ยงที่เหลืออยู่ยอมรับได้หรือไม่?

การสื่อสารชัดเจน ตรงประเด็น
Writing
กระชับ เน้น ๆ เขียนอย่างที่คิด
·       อย่ายึดติดกับกรอบเดิม ๆ หรือเขียนตามฟอร์มเดิม ๆ
·       ประมวลความคิด + สร้างโครงร่าง ก่อนเขียน
·       ประเมินและเขียนให้เหมาะกับผู้อ่าน
·       เขียนสื่อให้ชัดเจน โดยไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม
·       เลือกช่องทาง และวิธีการสื่อให้เหมาะสม
Face to Face
ตรงประเด็น ให้เกียรติ และ รับฟัง
·       วางแผนและเตรียมตัวให้ดีก่อนการสื่อสาร
·       สวมหมวกคนที่สื่อสารด้วย
·       เป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการให้ชัด
·       สื่อสารด้วยท่าทางเป็นมิตร และรับฟังอย่างตั้งใจ
·       สรุปและสอบทานความเข้าใจก่อนจบการสื่อสาร

การเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ

การแต่งกาย
·       การวางตัว การพูดจา ไม่ยกตนข่มท่าน หรือแสดงอำนาจ
·       การตรงต่อเวลา รักษามารยาทในห้องประชุม
·       การทำการบ้าน ศึกษาข้อมูลก่อนการตรวจสอบและการประชุม
·       มีความรอบรู้ ให้คำแนะนำได้
·       ความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ รักษาความลับ รักษาคาพูด
·       ให้เกียรติกันและกัน
·       ช่วยกันดูแล สนับสนุน teamwork

ประโยชน์ที่ได้รับ :
·       คล่องตัว ตื่นตัว active
·       รอบรู้ ทันโลก ทันเหตุการณ์
·       แม่นหลักการ และนักประยุกต์ที่ดี
·       multi-function
·       สื่อสารชัดเจน ตรงประเด็น
·       ลึกในงานที่ทำ แต่มองภาพกว้างได้
·       ช่างสังเกต ตั้งประเด็น
·       ทำงานเป็นทีม
·       ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
·       เป็นมิตรและน่าเชื่อถือ

*****************************
8 FinTech ยุทธศาสตร์ ธปท. และแนวทางการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน
ผอส. บัญชา มนูญกุลชัย ฝทง.
สรุปเนื้อหา

FinTech= Financial + Technology
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงิน
FinTech ช่วยตอบโจทย์ของประเทศได้อย่างไร
·       เพิ่มประสิทธิภาพการทางานและการให้บริการ
·       เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน
·       เพิ่มบริการที่หลากหลาย ราคาเป็นธรรม
·       เพิ่มการแข่งขันของผู้ให้บริการ
·       สร้างนวัตกรรมใหม่

ประโยชน์ของ FinTech
ผู้ให้บริการ
·       แข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ
·       ประสิทธิภาพการให้บริการเพิ่มขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
·       มีฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ผู้บริโภค
·       เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย หลากหลาย รวดเร็ว
·       ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงขึ้นด้วยราคาที่เหมาะสม(Anywhere, Anytime, Any Device)

6 Key Revolutionary Technologies
·       QR Payment
การนำเทคโนโลยี QR Code มาใช้ในการชำระเงิน ซึ่งได้เพิ่มความสะดวก ลดการใช้เงินสด และทำให้เกิดการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทั่วถึง เช่น การชำระเงินด้วย QR Code ผ่าน Mobile Devices
·       Machine Learning / Aritificial Intelligence (AI)
กลไกที่ทำให้เกิดการประมวลผลที่ฉลาดขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยเรียนรู้จากสิ่งที่ทำหรือผลลัพธ์ที่ได้ก่อนหน้า
·       Standard / Open APIs (Application Programming Interfaces)
ช่องทางการเชื่อมต่อจากระบบหนึ่งไปสู่ระบบอื่น ๆ เพื่อทำงานร่วมกัน
·       Blockchains and Distributed Ledgers
เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ Distribuited Ledger / Databaseที่มีการเข้ารหัส (Encryption) และกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูล เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ
·       Big Data / Data Analytics
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ (Data Analytics)เพื่อใช้ประโยชน์ในการเสนอบริการ การกำกับดูแล บริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสม
·       Biometrics
การยืนยันตัวต้นโดยใช้ลักษณะทางชีวภาพของแต่ละบุคคล เช่น การใช้ลายนิ้วมือ เสียง ม่านตา ใบหน้า

การใช้มาตรฐาน QR code สำหรับ Card Payment ผ่าน Mobile Devices
MasterCard, UnionPay และ VISA ผนึกกำลังครั้งแรกในโลกเปิดตัวมาตรฐาน QR Code” ที่จะใช้ร่วมกันสาหรับการชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในประเทศไทย เพื่อยกระดับการชำระเงินแบบ e-Payment ให้ง่ายยิ่งขึ้น
แนวทางสนับสนุน FinTech ของผู้กำกับดูแลในต่างประเทศ
บทบาท
·       จัดตั้ง Innovation center เพื่อสนับสนุน FinTech
o   UK (FCA)
o   Australia (ASIC)
o   Singapore (MAS)
o   KOREA (FSC) + ภาครัฐ
·       สนับสนุนเงินทุน ข้อมูลและ research
·       ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ภาษีและwork permit
·       ออกเกณฑ์กำกับดูแล
·       ให้พื้นที่ Co-working space ในการเรียนรู้ ทดลอง
(Regulatory Sandbox / Laboratory)
o   UK (FCA)
o   Australia (ASIC)
o   Singapore (MAS)
o   Malaysia (BNM)
o   Hong Kong (HKMA)
·       ร่วมกับภาคเอกชนจัดโปรแกรมการแข่งขัน FinTech
·       ผลักดันการศึกษาด้านนวัตกรรมคณิตศาสตร์ data scientistฯลฯ

แนวทางการส่งเสริม FinTech ของ ธปท.
·       แผนยุทธศาสตร์ที่สนับสนุน Digital Economy
·       แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 3
Payment System Development
Payment Systems Act
1.      ยกระดับระบบการชำระเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
2.      มีกฎหมายกำกับดูแลที่เป็นเอกภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลเสถียรภาพระบบการชำระเงิน
3.      การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น เอื้อต่อนวัตกรรมใหม่ ๆ
4.      เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน พัฒนาระบบการชำระเงินสู่ภูมิภาค

ภาพรวมโครงการ National e-Payment

โครงการที่ 1: ระบบพร้อมเพย์
พร้อมเพย์มีประโยชน์อะไรแก่ประชาชนบ้าง
·       เพิ่มทางเลือกและความสะดวกในการโอนและรับเงินให้ประชาชน
·       ลดภาระและต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสดและพิมพ์ธนบัตรของประเทศ
·       ดูแลประชาชนด้านสวัสดิการโดยจ่ายเงินผ่านช่องทางพร้อมเพย์
·       ค่าบริการถูกลงกว่าบริการโอนเงินแบบเดิม

พร้อมเพย์สำหรับนิติบุคคล
ประโยชน์
·       มีช่องทางรับชำระเงินและการจ่ายเงินที่สะดวก ช่วยเพิ่มโอกาสการทำธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
·       ลดต้นทุนและลดความเสี่ยง ในการบริหารจัดการเงินสดและเช็ค บริหารเงินได้สะดวกคล่องตัว

โครงการที่ 2 :การขยายการใช้บัตร

·       ส่งเสริมการใช้บัตรเดบิต แทนการใช้เงินสด ช่วยเพิ่มความสะดวกในชีวิตประจำวัน และลดต้นทุนของประเทศ
·       ส่งเสริมการติดตั้งเครื่องรับบัตรที่ร้านค้า เพื่อเพิ่มจุดรับชำระเงิน ร้านค้าเพิ่มโอกาสในการขาย การบริหารจัดการเงินดีขึ้น

FinTech : Regulatory Sandbox
·       ผู้ให้บริการ: นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
·       ลูกค้า: มีบริการที่หลากหลาย ตรงความต้องการ ใช้งานได้สะดวก และมีค่าใช้บริการต่ำลง

การดำเนินการของ ธปท.
(1) จัดให้มี single point of contact (ฝ่ายเทคโนโลยีทางการเงิน)
(2) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแล
(3) นำแนวทาง Regulatory Sandbox มาใช้

Regulatory Sandbox
สนับสนุนการทดสอบนวัตกรรมทางการเงิน ที่นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ โดยทดสอบในวงจำกัด และมีเกณฑ์การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น
วัตถุประสงค์:
ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทางการเงินและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ลดอุปสรรคด้านการกำกับดูแลในการพัฒนาบริการใหม่ ๆ
หลักการ: (1) เป็นนวัตกรรมทางการเงิน (2) คุ้มครองผู้บริโภค และ (3) ดูแลความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

Cyptocurrency : Bitcoin กับการกำกับดูแลของ ธปท.

Bitcoin และหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ลักษณะใกล้เคียงกัน
·       ไม่ถือเป็นเงินที่ชาระหนี้ได้ตามกฎหมาย และไม่มีมูลค่าในตัวเอง
·       มูลค่าของหน่วยข้อมูลดังกล่าวแปรผันไปตามความต้องการของกลุ่มคนที่ซื้อขายหน่วยข้อมูล
·       มูลค่าจึงเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าได้เมื่อไม่มีผู้ใดต้องการ

คำแนะนำสำหรับประชาชน
·       ในการถือครองหรือลงทุนในหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทางการยังไม่ได้รับรองว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ประชาชนควรระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
·       มีความเสี่ยงที่มูลค่าของหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะผันผวน หรือปรับลดค่าลงได้อย่างรวดเร็ว และอาจใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนได้

ประโยชน์ที่ได้รับ :

·       เข้าใจ FinTech ยุทธศาสตร์ ธปท. และแนวทางการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินเพื่อสามารถเป็นผู้ใช้ที่ดีและประชาสัมพันธ์ให้กับคนอื่นต่อไปได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม